[SF] Anatomy - BobYun - [SF] Anatomy - BobYun นิยาย [SF] Anatomy - BobYun : Dek-D.com - Writer

    [SF] Anatomy - BobYun

    สอบครั้งนี้... ผมจำอะไรไม่ได้เลย ฮยองช่วยด้วยครับ.

    ผู้เข้าชมรวม

    2,735

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    2.73K

    ความคิดเห็น


    23

    คนติดตาม


    39
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 พ.ย. 57 / 00:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    สำหรับนักอ่านคนใหม่ๆ ทุกเรื่องเป็น SF นะคะ ^_^

    จบในตอน ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตอนก็ได้จ้า

    ** แต่เพื่ออรรถรสที่ดี และถ้ามีเวลา..

    แนะนำให้ไล่อ่านตั้งแต่ตอนแรกเนาะ ฮี่ฮี่ :D
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                     

      BOBBY : YUNHYEONG





                    บรรยากาศของห้องสมุดในตอนนี้คับคั่งไปด้วยนักศึกษาแพทย์เกือบทุกชั้นปีเพราะมันคือช่วงฤดูการสอบของคณะเรา แต่ถึงแม้จะมีนักศึกษาเข้าใช้บริการเยอะแค่ไหน สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงรักษาระดับความเงียบได้เป็นอย่างดี อีกอย่างคือที่นี่แอร์เย็นสบายมาก เหมาะแก่การศึกษาหาความรู้ และยังเหมาะแก่การ...

       

       

      ป๊าบ!

       



      “เชี่ยยย เจ็บ!”  ผมยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองป้อยๆ เพราะโดนสันหนังสือฟาดลงอย่างแรง

       

      “พรุ่งนี้จะสอบยังมีอารมณ์มานอนเล่น ลุกขึ้นมาเลยยุนฮยอง ไม่งั้นเดี๋ยวกูฟาดอีกรอบ” คิมดงฮยอกทำท่าจะเอาหนังสือเล่มอื่นมาฟาดผมอีกรอบจริงๆ

       

      “โธ่.. มึงก็เลิกขยันซักสามนาทีได้ป่ะวะ กูเบื่อที่จะเห็นชื่อคิมดงฮยอกได้คะแนนท็อปชั้นปีแล้วนะ”

       

      “ถ้างั้นมึงก็ลุกขึ้นมาอ่านสู้กูดิ”

       

      “มึงทั้งฉลาด ทั้งขยัน.. สู้ไปก็เท่านั้นแหละ นอนดีกว่า แอ่ก...”  ผมฟุบลงกับโต๊ะอีกรอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็พอมองเห็นว่าคิมดงฮยอกง้างมือที่มีหนังสือเล่มหนาขึ้น แล้วกำลังจะฟาดลงมาบนหัวผม เพราะงั้นผมทำได้แค่หลับตาปี๋และเอามือทั้งสองข้างกุมหัวไว้

       

      .

      .

       

       

      ฟาดรึยังวะ?


      ทำไมไม่เจ็บ..


      หรือว่าผมหมดสติไปแล้ว??

      .

       

      .

       

      “...คิมบับฮยองนี่เกิดมาเพื่อปกป้องมึงจริงๆเลย  เดินมาโน่นละ”  ผมยกหัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วหันขวับไปมองตามที่ดงฮยอกบอก แล้วด้วยความที่กระจกห้องสมุดใสเลยทำให้เห็นว่าอีกคนที่อยู่ข้างนอกกำลังยิ้มกว้างและกำลังโบกมือมาทางนี้ คิมดงฮยอกวางหนังสือในมือลง พร้อมโค้งหัวให้คนเป็นพี่เบาๆ ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไปเชิงขอบคุณที่มาช่วยผมทันเวลา

       


      บ็อบบี้ฮยองกำลังกวักมือเรียกแล้วทำมือเป็นรูปบ้าน

      นั่นหมายถึง..

       

       



      “ดงฮยอกเดี๋ยวกูกลับ-...”

       

      “แหม่.. มีคนมาตามขนาดนี้กูคงกล้ารั้งไว้หรอก ไปไหนก็ไปเลย อ่านหนังสือด้วยล่ะ คือกูก็เบื่อที่จะท็อปชั้นปีแล้ว ช่วยมาอยู่ตำแหน่งนี้แทนกูที”

       

      “...ถ้าไม่ติดว่ากูรีบ เดี๋ยวได้ถีบอ่ะ”   คิมดงฮยอกกลั้นหัวเราะให้กับประโยคกวนๆของผม พลางโบกมือไล่ให้ผมไปไกลๆ หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เอาแต่จ้องอ่านหนังสือต่อ

       

       

       

      โธ่เอ้ย.. อันดับหนึ่งชั้นปี

      มึงอยู่ตรงนั้นต่อไปเถอะ

      กูไม่แย่งหรอก.

       

       

       

       

       

       

       

                      “....ไงคนเก่ง”   ทันทีที่เจอหน้ากันก็พลั้งปากถามคำถามเดิมๆออกไป พลางเอื้อมมือไปขยี้ผมสีเข้มนั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว

       

      “อ่านแล้วก็จำไม่ได้อ่ะฮยอง.. จำไรไม่ได้เลย ร่างกายต้องการปลาเพิ่มความฉลาด”  ไม่พูดเปล่า ซงยุนฮยองยังเอามือเล็กๆนั่นมาเขย่าอยู่ที่ต้นแขนผมอีกด้วย

       

      “แซลมอนซาชิมิ?”

       

      “แหะๆ..”   แววตาวิบวับนั่นเหมือนเด็กไม่มีผิดเลย

       

      “เซน หรือ ฟูจิ?”

       

      “....ฟูจิครับ”

       

       

       

      หน้าที่ตามใจคนที่ชอบ เอาแต่ใจแบบยุนฮยอง

      นี่มันเป็นหน้าที่ผมจริงๆ

       

       


      หลังจากพาว่าที่คุณหมอไปเพิ่มความฉลาด(?) เรียบร้อยแล้ว กลับมาถึงห้องรายนั้นก็มุ่งตรงไปที่โต๊ะหนังสือทันที เห็นอย่างงั้นผมก็ไม่อยากกวน เลยตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำจัดการอาบน้ำให้เสร็จสรรพ ...ปรากฏว่าเดินออกมาอีกที ซงยุนฮยองคนเก่งของผมใช้โต๊ะนั่นเป็นหมอนไปซะแล้ว

       



      “ยุนอ่า..”   แรงสะกิดเพียงเบาๆทำให้ยุนฮยองขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะยอมเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วลุกขึ้นมาในท่านั่งปกติ

       

      .

      .

       

      “...ฮยอง” 

       

      “ว่าไง?”

       

      “ผมเหนื่อยจังเลยครับ..” ร่างเล็กที่นั่งดีๆอยู่บนเก้าอี้ในตอนแรก.. เวลานี้กลับเอนหัวลงมาพิงสีข้างของผมเบาๆ สงสัยน้องจะเหนื่อยจริงๆแฮะ

       


      “พี่ช่วยอะไรได้บ้างไหม...?”

       

      “วิชากายวิภาค.. มันจำเกี่ยวกับร่างกายหมดเลย ฮยองช่วยไม่ได้หรอก-...  เอ๊ะเดี๋ยวนะ..”

       

      “หื้ม?”

       



      “ไม่สิ ฮยองช่วยได้!!!!!!”  ซงยุนฮยองเบิกตากว้าง อาการง่วงเมื่อสักครู่ดูเหมือนจะหายไปจนหมด น้องดูตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้เรื่องด้วยเลย

       


      ยุนฮยองลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ พลางจับตัวผมหมุนไปมา สุดท้ายน้องก็บอกให้ผมยืนนิ่งๆเอาเท้าชิด แล้วเอาแขนทั้งสองข้างชิดลำตัวพร้อมผายฝ่ามือออกมาทางด้านหน้า ..เหมือนจะได้ยินแว่วๆว่ามันคืออะนาโตมี่ โพสิชั่น

       



      อะนาโตมี่ โพสิชั่น..

      คือไรวะ

      ?

       

       

      “ฮยองยืนท่านี้ไปตลอดเลยนะ แล้วอยู่เฉยๆ นี่เรียกว่า Anatomy position

       

      “มันคือท่าอะไรอ่ะ?”

       

      “รู้ไปก็เท่านั้นอ่ะ อย่ารู้เลยครับ ฮ่าๆ”  เออ.. มันก็จริงว่ะ

       

      ผมถูกบังคับให้ยืนอยู่ท่านั้นเกือบชั่วโมง โดยมีอีกคนเดินวนรอบตัวพร้อมเอาปลายปากกากดๆจิ้มๆลงบนกล้ามเนื้อแต่ละส่วนพร้อมท่องชื่อไปด้วย ไล่ตั้งแต่หัวไหล่จนไปถึงปลายเท้า ..ผมเพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าชื่อกล้ามเนื้อทั้งร่างกายมันมีเยอะมากมายขนาดนี้

       

       

      “เรียบร้อยแล้วฮะ ฮยองไปนั่งพักได้ ฮ่าๆๆ”  ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วล้มตัวลงนอนแผ่อยู่บนเตียง ใครบอกว่ายืนเฉยๆมันไม่เหนื่อย?  ผมนี่เกร็งไปทั้งตัวจริงๆนะ ยิ่งตอนที่ยุนฮยองบอกให้เลิกเสื้อขึ้น เพราะต้องดูกล้ามเนื้อหน้าท้องกับกล้ามเนื้อหลัง ผมยิ่งทำอะไรไม่ถูก แต่อีกคนกลับเอาปากกาจิ้มๆซิกแพ็คของผมแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ไม่มีเขิน ไม่มีหน้าแดงสักนิด

       

       



      ให้ตาย

      เรียนหมอมันบั่นทอนความโรแมนติกจริงๆ.

       

       

       

      หลังจากที่ปล่อยให้ผมพักได้ไม่นาน  ยุนฮยองคนเก่งก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆผม และด้วยความที่มืออยู่ไม่สุขเลยรวบเอวน้องเข้ามาใกล้ๆแล้วนอนลงบนตักนั่นซะเลย

       



      “มือไวแบบนี้อีกแล้วนะ...”    ถึงน้ำเสียงจะเหมือนดุ แต่มือเล็กๆนั่นก็ลูบลงมาบนกลุ่มผมไปมา

       

      “จำได้หมดรึยัง? พี่อุตส่าห์ยืนเป็นหุ่นให้ตั้งนาน หุ่นหน้าตาดีขนาดนี้ หาไม่ได้อีกแล้วล่ะ”

       


      “ทำไมเป็นคนหลงตัวเองงี้อ่ะ”

       


      “รึไม่จริง??? โธ่เอ้ย”

       

      “ฮ่าๆๆ จริงก็ได้ครับ คิมบับฮยองของผมเท่ที่สุดอยู่แล้ว แถมดีใจอีกต่างหาก”  ผมยิ้มกว้างให้กับคำตอบที่ได้ยิน ถึงไม่รู้ว่ายุนฮยองจะเต็มใจตอบหรือไม่ แต่การได้เห็นอีกคนดูผ่อนคลายจากการอ่านหนังสือ ผมก็ดีใจแล้วล่ะ

       

       

      .

       

      .

       

      “ง่วงยัง..  นอนเลยมั้ย? พรุ่งนี้สอบเช้าหนิ”

       

      “ขออีกแป๊บนึงนะ ผมยังไม่ได้ท่องกล้ามเนื้ออีกสี่ที่”

       

      “ตรงไหนอ่ะ? พี่ต้องยืนแบบนั้นอีกป่ะ?”

       

      “ไม่ครับ ฮยองนอนแบบนี้ก็ได้”

       

      “อ่าว แล้วจะท่องยังไง-....”

       

       

       

       

      “...ฮยองหลับตาก่อน”  ผมเอามือปิดตาคนบนตักบังคับให้หลับตาลง ที่ทำแบบนี้ได้เพราะกล้ามเนื้อส่วนต่อไปที่จะต้องท่องคือกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เพียงแค่อีกนอนสบายๆให้ผมเอานิ้วจิ้มๆก็พอแล้ว

       


      “.....”

       

      “อันนี้เรียกว่ากล้ามเนื้อ orbicularis oculi ใช้หลับตา”  ผมเอานิ้วกดบนเปลือกตาของคนเป็นพี่เพียงเบาๆ พลางท่องชื่อกล้ามเนื้อไปด้วย

       

      จากเปลือกตา.. ไล้นิ้วไปเรื่อยๆจนไปถึงบริเวณหน้าผาก.. ตอนนี้บ็อบบี้ฮยองลืมตาขึ้นมาแล้ว สายตาที่ผมถูกมองอยู่ตอนนี้มันไม่ต่างจากตอนที่คบกันแรกๆเลย แล้วผมก็แพ้สายตาแบบนี้ทุกที

       


      “อ..เอ่อ.. กล้ามเนื้อหน้าผาก.. frontalis

       

      frontalis….

       

      “ฮยองพูดตามผมทำไมเนี่ย?”

       

      “ท่องเสร็จแล้วเหรอ? ถ้ายังก็ท่องต่อสิ”  อะไรของเค้าเนี่ย.....

       

      “โอเคครับ.. ก.. กล้ามเนื้อจมูก..  เรียกว่า nasalis

       

      nasalis.....”  

       

      นอกจากจะพูดตามแถมจ้องตาไม่กระพริบ บ็อบบี้ฮยองยังเอื้อมมือมาจับมือผมที่นิ่งค้างอยู่บริเวณหน้าผาก ให้เลื่อนไล้ลงไปบริเวณจมูก

       

      “เอ่อ... ฮยองปล่อยมือผมก่อนมั้ย?...”

       

      “....”   อีกคนส่ายหัวเบาๆเป็นคำตอบ แถมยังกระชับฝ่ามือที่กุมมือผมอยู่ให้แน่นขึ้นไปอีก

       

      “งั้นกล้ามเนื้อส่วนต่อไป........ อ..เอ่อ......”

       

      “...?”





       

      orbicularis oris....กล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก... ใช้จูบ...”

       


      orbicularis oris...”   เสียงทุ้มกำลังทวนสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปเมื่อสักครู่ แถมมือใหญ่นั่นก็ยังบังคับมือผมให้เลื่อนขยับจากบริเวณเนินจมูกลงมาบริเวณริมฝีปาก  ...รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนที่นอนอยู่บนตักผุดขึ้นแทบจะในทันทีที่ริมฝีปากถูกสัมผัสโดยปลายนิ้วของผม

       


      “ฮ..ฮยอง..”

       

      “กล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก...”

       

      “....”

       

      “ใช้จูบใช่ไหม?”

       

       

      ริมฝีปากที่เป็นเจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อสักครู่ กำลังกดจูบลงมาบนปลายนิ้วของผมเพียงแผ่วเบา...  เพียงแค่นั้นก็ทำให้สติของผมแทบไม่เหลือ.. ผมชักมือกลับออกมาช้าๆ แล้วเลื่อนมือมากุมสองแก้มไว้แน่นกลัวว่าอีกคนจะเห็นว่าตอนนี้หน้าแดงไปถึงไหนต่อไหน

       



      “ทำไมฮยองทำแบบนั้นเล่า....”

       

      “แล้วทำไมล่ะครับ”

       

      .

       

      .

       

      “มันเขิน...”    ..........มันเขินแบบบอกไม่ถูก ไม่รู้ดิ.. บ็อบบี้ไม่เคยทำแบบนี้... มัน.... งื้ออออ... -//-

       

      “ฮ่าๆ จะได้จำได้แม่นๆไง”

       

      “โธ่.. ใครเค้าใช้วิธีนี้กันล่ะ”

       

      “ก็แล้วทำไมอ่ะ?  วิธีไหนก็ได้ทั้งนั้น.. ถ้านายจำได้”

       

      “ก็มัน...”

       

      “แน่จริงก็พูดดิ ว่าจำไม่ได้”

       

       




      เห๊อะ.. ท่องรอบเดียวใครจะไปจำได้ล่ะ




      เออว่าแต่..

      orbicularis oris… นี่กล้ามเนื้อใช้จูบ.

      ถูกใช่ไหม?

       

       

       

       

       

      รถยนต์สีดำฟิล์มมืดสนิทคันเดิมที่คอยมาส่งอีกคนอยู่เสมอๆถ้าผมมีเวลาว่าง ตอนนี้จอดนิ่งอยู่บริเวณหน้าคณะแพทย์ตั้งแต่เวลาเจ็ดโมงเช้า เนื่องจากยุนฮยองรบเร้าให้มาแต่เช้าจะได้ไม่ตื่นเต้นในการสอบ แต่ผมก็มองว่ายังไงยุนฮยองก็ขจัดความตื่นเต้นของตัวเองออกไปไม่ได้อยู่ดี

       

      “ฮยอง.. ผมจะจำได้มั้ยอ่ะ?”

       

      “จำได้ดิ เมื่อคืนพี่อุส่าห์ยืนเป็นหุ่นให้เลยนะ”

       

      “โห่ววว ก็มันตื่นเต้นนี่...”  ยุนฮยองเริ่มนั่งไม่ติดเบาะเมื่อเวลาสอบใกล้เมาเรื่อยๆ ผมเลยมือเอื้อมไปลูบหัวน้องเบาๆเชิงปลอบประโลมว่ามันไม่เป็นไร แค่หยุดตื่นเต้นเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง

       

      .

       

      .

       

      “ก่อนจะไป ...เดี๋ยวฮยองติวให้อีกรอบมา”

       

      “ฮยองจำชื่อกล้ามเนื้อได้เหรอ?”

       

      “ก็เดี๋ยวถามเฉพาะที่จำได้ไง”

       

      “ดีเลย ถามๆๆๆๆ”

       

      “ยุนหลับตาก่อน... ค่อยๆนึกคำตอบนะ”   ร่างบางในชุดนักศึกษากำลังหลับตาลงอย่างว่าง่าย พร้อมกับขมวดคิ้วรอตอบคำถาม

       

       

       

      ไม่รอช้าที่จะส่งคำถามแรกไปให้ยุนฮยอง..  ริมฝีปากแนบลงเบาๆกลางหน้าผากมน แล้วผละออกมาให้อีกคนได้คิด ว่าคำตอบของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นคืออะไร... หึ.. ไม่มีทางลืมอีกแน่ เชื่อเถอะ

       

      “ฮ..ฮยอง..”

       

      “ขอเฉพาะคำตอบครับ”

       

      “...frontalis”  คำตอบแผ่วเบาจากยุนฮยองนั้นดังพอสำหรับสองคนในรถนี้เท่านั้น แก้มขาวขึ้นสีระเรื่ออย่างต่อเนื่อง ยิ่งผมเห็นแบบนั้น ผมยิ่งอยากแกล้ง..

       

      “แล้วตรงนี้ล่ะ......”    ก้มหน้าลงไปสำรวจแพขนตาสวย ก่อนจะกดจูบลงไปบนเปลือกตาทั้งสองข้าง

       

      ......orbicularis oculi ครับ”

       

      “ตรงนี้ล่ะครับคนเก่ง”   จมูกชนจมูก...

       

      nasalis...”

       

      “สุดท้ายละนะ..”

       

      ...orbicularis oris

       

      “พี่ยังไม่ได้ถามเลย”

      .

      .

       

       

       

      “ผมรู้ว่าฮยองจะถามอะไร...”  

       

      ไม่ทันได้ตั้งตัว ยุนฮยองใช้มือเล็กประครองใบหน้าของผมไว้แล้วกดจูบลงมาแรงๆหนึ่งทีแล้วผละออก ดูเหมือนการทำแบบนั้นแล้วถ้าผมเขิน ก็แสดงว่ายุนฮยองจะชนะผมได้...

       



      แต่เปล่าเลย

      วันนี้ซงยุนฮยองแพ้ราบคาบ.

       

       

      “หน้าแดงแบบนี้ ไหวป่ะเนี่ย? ไม่ได้ตัวร้อนมีไข้นะ ฮ่าๆ”

       

      “ฮยองอ่ะ...”   สงสัยคงเขินจัด ทำเป็นวุ่นวายกับกระเป๋าบนตัก ไม่หันมาสนใจผมเลย

       

      “ขอบคุณสำหรับจูบน่ารักๆแบบเมื่อกี้นะ.. ไปสอบได้แล้วคนเก่ง เดี๋ยวสาย”

       

      “ครับ... อย่าลืมมารับด้วยนะ”

       

      “ไม่ลืมน่า.. และจำได้หมดแล้วใช่ไหม.. ที่ติวให้เมื่อกี้นี้..?”

       

      “ค...ครับ -///-

       

       

       

       

      ประตูรถลงถูกปิดลง.. ผมมองตามยุนฮยองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกคนเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร

      ขอให้วันนี้เป็นวันดีๆของยุนฮยองด้วยเถอะครับ

      ขอให้การติวที่ผมทุ่มเทที่จะช่วยน้องทั้งเมื่อคืน และเมื่อกี้...

      เกิดประโยชน์สูงสุด.




      ซงยุนฮยองคนเก่ง

       
      END.

       



      Special:

       

      หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป..

       

      “ยุนฮยอง!!!!! คะแนนออกแล้วววววววววว”   เสียงคิมดงฮยอกตะโกนข้ามหัวคนอื่นๆในโรงอาหาร ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามผม

       

      “ตลกละ เพิ่งผ่านมาอาทิตย์เดียว อะไรจะตรวจเร็วขนาดนั้น”

       

      “ไม่เชื่อมึงเปิดเว็บดูคะแนนดิ กูจะโกหกหา???”

       

      “ไม่อ่ะ กูได้เท่าไหร่บอกมาเลย ...ของมึงด้วย? ได้เท่าไหร่? ท็อปอีกอ่ะดิ”

       

      “ใช่...”

       

      “แล้วมันตื่นเต้นตรงไหนวะ มึงก็ท็อปอย่างงี้มาตลอดอยู่ละ ตะโกนมาซะดังเชียว”

       

      “เอ๊า ก็กูดีใจอ่ะ...”

       

      “รอกูท็อปชั้นปีแล้วค่อยมาตะโกนใส่หน้ากู โอเคป่ะเพื่อน”

       

      “....ก็ได้”

       

      “.....”

       

      “งั้นเริ่มละนะ..”

       

      “อะไรของมึง-...”

       

      .

      .

       

       

      “ซง ยุน ฮยอง ท็อปชั้นปี!!!!!!!!!!!!! คะแนนเท่ากูโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

       

       

       

      END.

       

       

      SF นี้มีสาระไปอี้กกกกกก 55555555555 ศัพท์เฉพาะมาเต็มมม แงงง เค้าขอโทษ T^T

      คือหนังสืออนาโตมี่บนโต๊ะมันเตะตา เลยเป็นเรื่องเลย =,,=

      ความรู้กายวิภาคตอนแต่งฟิคนี่แน่นกว่าตอนสอบอีกค่ะ  นี่พูดเลย 55555555555

       

      กราบขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเม้นท์

      มันอบอุ่นมากจริงๆนะ -/////-  เค้านี่ได้ยิ้มตลอดเลยเวลาอ่านคอมเม้นท์น่ารักๆ

      สำหรับใครที่เพิ่งรู้จัก #ฟิคสามหมอ  ก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกสามหมอเดอะซีรี่ย์นะคะ ^_^ *โดดกอด*

       อย่าลืมแท็ก #ฟิคสามหมอ ในทวิตเตอร์นะ อ่านมันส์มากกกก ฮ่าๆ ^O^

       

      ปล.1 เม้นใน dek-d ไม่ค่อยติด เค้าไม่รู้ว่าทำไม  TT__________TT

      ถ้าเข้ามาเช็คแล้วไม่ติด ถ้าตัวเองไม่เหนื่อย รบกวนเม้นใหม่อีกรอบโนะ.. _/\_

      หรือ ไปที่ #ฟิคสามหมอ ในทวิตเตอร์อาจจะง่ายกว่าค่ะ 55555555555 ทันใจๆ

       

      ปล.2   .................... ตัดสินใจรวมเล่มแล้วนะ  O.O!!!!  ใครอยากจับจองอดใจรอนิดนึง

      กำลังค่อยๆดำเนินการ  รายละเอียดจะแจ้งอีกทีนะคะ  ^_^

       

      ไปละ พูดมากละ จุ๊บบบบบบบบ -3-

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×